แย่ลง
เพราะแทนที่อาการของเขาจะดีขึ้น เขากลับมีอาการไออย่างหนักและไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้น ภรรยาของเขารู้สึกสิ้นหวังมากจึงขอความช่วยเหลือจากลูก ๆ ลูกชายของเธอจึงแนะนำหมอที่เขารู้จัก ที่เป็นผู้ชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะ
เมื่อฟังคำแนะนำของลูกชาย โจนส์จึงนัดกับคุณหมอในวันถัดไปทันที ตอนนี้เขากังวลมาก และอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เขารู้แค่ว่ามันอาจจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ หลังจากได้ไปพบหมอเฮนรี่ที่ลูกแนะนำ หมอแนะนำยาตัวใหม่ให้กับโจนส์ หลังจากนั้นเขาก็อาการดีขึ้น
โจนส์รู้สึกซาบซึ้งมาก จึงเชิญคุณหมอเฮนรี่มาทานอาหารเย็นที่บ้าน หมอเฮนรี่ตอบรับข้อเสนอของโจนส์และไปพบกับเขาที่บ้านในคืนนั้นโจนส์และภรรยาจัดเตรียมอาหารอย่างดีเพื่อตอบแทนคุณหมอเฮนรี่ที่ช่วยชีวิต
อาหารค่ำสำหรับสามคน
เฮนรี่และโจนส์คุยกันไปขณะช่วยกันจัดโต๊ะไปด้วย ทั้งสามคนคุยกันอย่างสนุกสนานตั้งแต่เรื่องสภาพอากาศไปจนถึงเรื่องอาหารจานโปรดของพวกเขาและอาหารในค่ำคืนวันนั้นก็มีทั้งเนื้อแกะย่างและอาหารเรียกน้ำย่อย ของหวาน เมนูปลา และค็อกเทล
หลังจากรับประทานอาหารเย็นไปแล้วครึ่งชั่วโมงพวกเขาก็เริ่มพูดคุยถึงเรื่องสุขภาพของโจนส์ พวกเขาหารือเกี่ยวกับการวินิจฉัยโรคและขั้นตอนที่จะสามารถทำได้ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณโจนส์จะมีอาการดีขึ้นในไม่ช้า แต่อยู่ ๆ ก็มีคำถามหนึ่งโผล่ขึ้นมาและทำให้ทั้งสามต้องหยุดชะงัก
สาเหตุ
คำถามนั้นเป็นคำถามที่ไม่มีใครสามารถตอบได้ นั่นคือ สาเหตุที่แท้จริง ที่ทำให้โจนส์มีอาการอย่างนี้คืออะไร เพราะไม่ว่าพวกเขาจะทำการทดสอบแบบไหน พวกเขาก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าที่โจนส์ไอหนักขึ้นทุกวันนั้นเกิดจากอะไร
พวกเขาทั้งสามพยายามหาคำตอบแต่ก็ไม่สามารถหาได้เลย แม้ว่าจะพยายามเชื่อมโยงเรื่องให้น่าเป็นไปได้มากที่สุดแล้วตามการเชื่อมโยงก็ยังดูไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี ทั้งสามคนเริ่มกลายเป็นนักสืบ หาสาเหตุอาการของโจนส์ที่แท้จริงว่าเกิดจากอะไรกันแน่
สิ่งเดียวที่พวกเขาแน่ใจคือโจนส์เริ่มมีอาการช่วงหลังวันคริสต์มาสเป็นต้นมา เมื่อพวกเขาคิดถึงจุดนี้ พวกเขาก็เริ่มตรวจสอบทุกซอกทุกมุมเท่าที่จะทำได้ ไล่ไปทีละขั้นตอน จนถึงหมวดหมู่ของของขวัญเป็นหมวดสุดท้ายที่จะหา
ของขวัญคริสมาสต์ที่ผ่านมา
เนื่องจากพวกเขาเป็นครอบครัวใหญ่ คู่สามีภรรยาที่ชราจึงได้รับของขวัญมากมายจากลูกหลานของพวกเขา พวกเขาเริ่มขยับมาตรวจสอบของขวัญที่คุณโจนส์และภรรยาได้รับทีละชิ้น จนกระทั่งมาถึงของขวัญชิ้นหนึ่ง
หมอเฮนรี่แกะดูของขวัญทุกชิ้นเพื่อเช็คให้ละเอียดจนกระทั่งมาถึงของขวัญที่ภรรยาของโจนส์ได้ให้กับเขาเมื่อตอนคริสต์มาส ภรรยาของโจนส์ได้อธิบายถึงของขวัญชิ้นนี้ว่า เธอทำให้เขาด้วยมือ ทันใดนั้นหมอเฮนรี่ก็เข้าใจบางอย่างได้ทันที
หมอเฮนรี่เริ่มเห็นความเป็นไปได้บางอย่างถึงสาเหตุอาการของโจนส์ เขามีความรู้สึกบางอย่างว่าสาเหตุมาจากสิ่งนี้แน่นอน เขาจึงขอให้ภรรยาของโจนส์พาไปดูสถานที่ที่เขาทำมันขึ้น
ส่วนผสมจากธรรมชาติ
ภรรยาของโจนส์สร้างประติมากรรมรูปขึ้น เพื่อมอบให้โจนส์เป็นของขวัญวันคริสต์มาส หมอเฮนรี่ทุบมันเพื่อที่จะดูส่วนผสมข้างในว่ามันทำมาจากอะไร ถ้ามองด้วยตาเปล่ามันก็แค่รูปปั้นธรรมดา ๆ ที่ดูไม่มีพิษอะไร แต่หมอเฮนรี่รู้ดีว่า ในรูปปั้นนี้มีส่วนผสมบางอย่างอยู่ เขาจึงถามเธอตรง ๆ ว่ามันทำมาจากอะไร เมื่อได้ฟังคำตอบ หมอเฮนรี่ถึงกับตะโกนออกมาว่า โยนมันทิ้งเดี๋ยวนี้
ภรรยาของโจนส์ตกใจกับคำที่หมอตะโกนออกมา จึงขอคำอธิบายว่ามีเหตุผลอะไรที่ต้องตะโกนออกมาแบบนั้น หมอเฮนรี่จึงอธิบายว่า ส่วนผสมของหอยแมลงภู่สีน้ำเงิน ถึงแม้จะมาจากธรรมชาติก็ตาม หากใครสัมผัสมันบ่อย ๆ เป็นเวลานาน มันจะเกิดพิษและส่งผลต่อร่างกายได้
หลายคนอาจไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ และสามีภรรยาก็ไม่เคยคิดว่าของขวัญชิ้นนี้จะเป็นอันตรายได้ ทั้งสองจึงตั้งใจฟังหมอเฮนรี่อธิบายถึงผลกระทบของการสัมผัสหอยแมลงภู่สีน้ำเงิน
โยนของขวัญทิ้ง
ทั้งคู่รีบโยนของขวัญทิ้งทันที เพราะหมอเฮนรี่ได้อธิบายและยกตัวอย่างศิลปะที่ทำให้สุขภาพย่ำแย่ลงเพราะเปลือกหอยแมลงภู่สีน้ำเงินให้พวกเขาฟัง หน้าที่ของเปลือกหอยนี้คือ กรองสารพิษจากสิ่งแวดล้อมไว้ที่เปลือก มันจึงกักเก็บสารพิษไว้เต็มไปหมด
ด้วยเหตุนี้เอง หอยแมลงภู่นี้จึงเต็มไปด้วยสารเคมีที่เป็นพิษซึ่งส่งผลอย่างมากต่อสุขภาพของมนุษย์ ภรรยาของโจนส์จึงต้องเด็ดขาดกับการกำจัดสิ่งนี้ เพราะมันเป็นเรื่องที่น่ากังวลจริง ๆ สำหรับเขา
ทั้งโจนส์และภรรยาตัดสินใจทำความสะอาดและชำระล้างทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเปลือกหอยและเช็คทุกจุดในร่างกายเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ตามร่างกายเขา แต่โชคดีที่ทั้งสองไม่ได้สัมผัสกับเปลือกหอยนั้นนานพอที่จะสร้างปัญหาใหญ่กับสุขภาพพวกเขาไปมากกว่านี้
ความเสี่ยงด้านสุขภาพ
ภรรยาของโจนส์ค้นพบว่า ช่างแกะสลักหินแกะสลักไม้ ช่างกระจกและงานศิลปะแขนงอื่น ๆ มีความเสี่ยงต่อสุขภาพมาก เธอจึงเผยแพร่ข้อมูลที่เธอได้ศึกษามา เพื่อให้ความรู้กับคนที่จะทำงานด้านนี้ ให้พวกเขาใส่ใจที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับวัสดุที่จะใช้ในงานเหล่านั้น
แต่ก็มีอีกเรื่องที่คล้ายคลึงกับเรื่องของเธอและเรื่องนี้ก็สะเทือนใจเธอมาก
เธอคนนั้นเป็นศิลปินชาวแคนาดาที่ทำงานศิลปะของเขาโดยไม่ได้คำนึงถึงสิ่งใดใด จึงส่งผลต่อสุขภาพของเธอ ภรรยาของโจนส์เล่าเรื่องนี้ให้กับคนอื่นฟังเพื่อเป็นบทเรียน
วัสดุธรรมชาติ
เธอได้เล่าว่า กิลเลียน เจนเซโร เป็นประติมากรและศิลปินทัศนศิลป์จากแคนาดา ทำงานประติมากรรมชิ้นหนึ่งของอดัมจากสวนเอเดนมาตั้งแต่ปี 1998 เธอมองว่านี่คือผลงานชิ้นเอกและกำลังตั้งใจทำให้มันสมบูรณ์แบบ
งานของกิลเลียน เจนเซโร เป็นแรงบันดาลใจให้กับภรรยาของโจนส์มาตลอด เพราะเขาใช้วัสดุธรรมชาติมาร่วมกับงานศิลปะ แต่เธอก็ไม่ได้คำนึงถึงวัสดุเหล่านั้นเช่นกันว่ามันจะมีพิษมากขนาดไหน
กิลเลียนชอบใช้เศษกระดูก เปลือกหอย และพืชแห้งเป็นวัสดุสำหรับประติมากรรมของเธอ สำหรับกิลเลียนแล้วเธอสนใจวัสดุจากธรรมชาติเป็นพิเศษ เธอจึงนำมาร่วมกับประติมากรรมอดัมที่เธอกำลังทำและเธอก็ตั้งใจใช้เปลือกหอยแมลงภู่สีน้ำเงินเป็นหลัก
ประติมากรรมอดัม
เธอได้สร้างประติมากรรมของลิลิธก่อนที่จะเริ่มทำประติมากรรมอดัม ประติมากรรมอลิธถูกสร้างขึ้นจากเปลือกไข่ทั้งหมดและเธอใช้วัสดุจากธรรมชาติและออร์แกนิกเท่านั้น และเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่างานเหล่านี้จะเป็นงานสุดท้ายของเธอ
กิลเลียนต้องการใช้เปลือกหอยแมลงภู่สีน้ำเงินในรูปปั้นอดัมของเธอ เพราะเธอเห็นว่าลายของเปลือกหอยมีความคล้ายกับกล้ามเนื้อของมนุษย์ และคิดว่าถ้าเธอนำมาขัดเงา เธอคิดว่ามันน่าจะสร้างสุนทรียภาพที่สวยงามให้กับงานศิลปะได้แน่นอน
เธอตั้งใจให้งานประติมากรรมนี้เป็นผลงานชิ้นโบแดงในชีวิตของเธอ ไม่มีอะไรที่จะหยุดเธอได้ และงานนี้ก็ใช้เวลาหลายปี แต่เธอไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นจุดจบ
การเจียรและการขัด
รูปปั้นอดัมของกิลเลียนทำมาจากเปลือกหอยแมลงภู่สีน้ำเงิน เธอได้ซื้อเปลือกหอยสีน้ำเงินมาเป็นจำนวนมากจากไชน่าทาวน์ของโตรอนโต เธอใช้เวลาหลายชั่วโมงในการปั้นและบดเปลือกหอยแมลงภู่ให้เป็นผงละเอียด จากนั้นจึงขัดมันจนเป็นประกาย
เธอใช้เวลาถึงสิบห้าปี ในการปั้นรูปปั้นของอดัมให้สำเร็จ มันเป็นช่วงเวลาที่ต้องทุ่มกับมันอย่างมากเพื่อให้งานนี้ออกมาสมบูรณ์แบบ แต่กิลเลียนไม่เคยคิดเลยว่างานนี้จะทำให้เธอเสียชีวิต
อาการแปลก ๆ
กิลเลียนเพิ่งเข้ามาในวงการศิลปะเพียงไม่กี่ปี แต่เธอก็เริ่มรู้สึกไม่สบาย เธอปวดหัวและคลื่นไส้ตลอดเวลาเธอพยายามหาทางรักษาแต่ก็แย่ลงเรื่อยๆไม่มีทางที่จะรักษาให้หายได้เลย
ทุกอย่างเริ่มต้นจากอาการปวดเมื่อยเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็เริ่มปวดร้าวไปตามกระดูกและเธอก็รู้สึกอ่อนแรง ในตอนแรกเธอคิดว่าอาการต่าง ๆ อาจจะมาจากอาการเครียด แต่ทำอย่างไรก็ไม่ดีขึ้นมีแต่จะทรุดลงเรื่อยๆ
กิลเลียนพยายามหาวิธีที่จะให้เธอรู้สึกดีในขณะที่ทำงานประติมากรรมของเธอต่อไป เพราะงานใกล้จะสำเร็จแล้ว เธอพยายามลองวิตามินทุกชนิดที่มีไม่ว่าจะเป็น วิตามินบี วิตามินซี สังกะสี เหล็ก และวิตามินอี
ไปหาหมอ
แต่หลังจากรับประทานไปสองสามสัปดาห์ อาการปวดหัวก็เพิ่มขึ้น แถมเธอยังมีอาการสูญเสียความทรงจำระยะสั้น และกล้ามเนื้อของเธอก็อ่อนแรง จนในที่สุดเธอก็ตัดสินใจไปหาหมออีกครั้ง
กิลเลียนเข้าพบหมออีกครั้งและอาการของเธอก็ทำให้บรรดาหมอตกใจมาก เพราะสองสามสัปดาห์ก่อน หมอได้วินิจฉัยว่าเธอเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา แต่ตอนนี้อาการของเธอหนักขึ้นจนน่าตกใจ
หมอประหลาดใจมาก เพราะกิลเลียนมีระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ซึ่งถ้าเป็นไข้หวัดเธอก็น่าจะหายแล้ว แต่อาการของเธอแย่ลงเรื่อย ๆ จนทำให้หมอกังวลมากขึ้น และอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสุขภาพของกิลเลียนกันแน่
การทดสอบ
หลังจากพบกับกิลเลียนอีกครั้ง หมอก็เริ่มจริงจังกับอาการของเธอมากขึ้น พวกเขาทำการทดสอบเลือดและภูมิแพ้เพื่อหวังว่าจะพบโรคหรือการแพ้ แต่การทดสอบกลับเป็นศูนย์ เพราะกิลเลียนไม่ได้เป็นโรคเหล่านี้
พวกเขาไม่เจออะไรในการทดสอบ ทำให้พวกเขาตัดสินใจที่จะลองวิธีที่เรียกว่า “ปฏิชีวนะกำจัด” วิธีนี้คือการให้ยาปฏิชีวนะหลายชนิดเข้าสู่ร่างกายของกิลเลียน และคาดหวังว่าจะได้รับคำตอบจากอาการของกิลเลียน
หลังจากที่กิลเลียนได้รับยา พวกเขาก็รอดูปฏิกิริยาของเธอ นี่เป็นความหวังที่ดีที่สุดของหมอ ในการค้นหาว่าทำไมเธอถึงไม่ดีขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดของหมอคือกิลเลียนจะต้องไม่แย่ลงไปกว่านี้
หมอหวังว่าการให้ยาเหล่านี้จะทำให้รู้สาเหตุการเจ็บป่วยของกิลเลียน แต่เมื่อผลออกมากลับตรงกันข้าม หลังจากที่ให้ยาไปเรื่องกลับเริ่มเลวร้ายยิ่งขึ้น
ความเจ็บปวดที่รุนแรงขึ้น
กิลเลียนเริ่มรู้สึกแย่ลงแทนที่จะดีขึ้น เธอปวดเมื่อยตามร่างกายจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น จากนั้นความเจ็บนี้ก็เริ่มทำให้เธอกังวลและมีความเครียด รวมถึงเพื่อนและสมาชิกในครอบครัวของเธอด้วย
หรือว่าเรื่องทั้งหมดจะเป็นเพราะความเครียดจริงๆ? แต่กิลเลียนคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติในร่างกายของเธอแน่ ๆ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เธอเคยเป็นและรู้ว่าอาการเจ็บปวดนี้ ต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน
กิลเลียนมุ่งมุ่นที่จะค้นหาสาเหตุอาการป่วยของเธอ ไม่ว่าจะค้นหาทางอินเตอร์เนตหรือปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญในแชทออนไลน์ และลองใช้การรักษาด้วยสมุนไพรและการรักษาแบบธรรมชาติต่าง ๆ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีวิธีไหนที่จะช่วยเธอได้เลย
ทุกการทดสอบเป็นไปได้
กิลเลียนไปพบหมอของเธอเป็นประจำ หมอของเธอให้การดูแลเธออย่างดีที่สุด และทดสอบทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ หมอใช้ความพยายามอย่างมาก เพื่อวินิจฉัยโรคที่กิลเลียนเป็นอยู่
นอกจากนี้กิลเลียนยังไปพบจิตแพทย์ หมอได้ให้ยารักษาอาการซึมเศร้าเพราะความเครียดจากอาการป่วยของเธอ แต่กิลเลียนคิดว่า เธอกำลังจะตาย แต่เธอจำเป็นต้องปั้นอดัมให้เสร็จ เพราะมันเป็นผลงานชิ้นโบแดงของเธอ
เวลาผ่านไปจนถึงปี 2015 กิลเลียนสร้างรูปปั้นอดัมของเธอเกือบเสร็จ และเธอก็เข้าพบหมอประจำตัวของเธอ จนในที่สุดเธอก็ได้พบกับผู้เชี่ยวชาญที่สนใจอาการของเธอ และเขาคิดว่าสาเหตุของปัญหานี้น่าจะมาจาก…
เป็นพิษ
ผู้เชี่ยวชาญได้ทำการตรวจเลือดของกิลเลียน เขาพบสารตะกั่วและสารหนูในเลือดของเธอในระดับที่ไม่ธรรมดา เมื่อกิลเลียนได้ยินอย่างนั้น เธอตกใจมากและถามหมอว่ามันเป็นไปได้อย่างไร?
ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังที่ Royal Museum ของ Ontario รู้สึกตกใจ เมื่อกิลเลียนบอกเขาว่าเธอทำงานเกี่ยวกับเปลือกหอยแมลงภู่สีน้ำเงินในงานประติมากรรมของเธอมาเกือบสิบห้าปีแล้ว
“ผู้เชียวชาญจึงพูดกับกิลเลียนว่า ‘ผู้คนมักจะไม่รู้ว่าสิ่งนี้มีพิษร้ายเพียงใด’” ผู้เชี่ยวชาญกล่าวกับกิลเลียนว่า เธอเป็นนักอุทิศตัวเพื่องานศิลปะที่แท้จริง แต่กิลเลียนไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
สารพิษ
ผู้เชียวชาญอธิบายว่าหอยแมลงภู่ที่อาศัยอยู่ในน้ำเน่าเสีย มักจะสะสมสารตะกั่วและสารหนูไว้ในกระดอง กิลเลียนสัมผัสและทำงานกับเปลือกหอยพิษเหล่านี้มากว่าทศวรรษ ที่แย่ไปกว่านั้น เธอได้หายใจเอาเศษฝุ่นต่างๆเข้าไปขณะที่เธอทำงาน
สารพิษเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายของเธอและค่อย ๆ ทำลายระบบประสาทของเธอ ซึ่งมันจะค่อย ๆ เสียหายและล้มเหลวลงจากการที่ทำงานนี้สะสมมาเป็นเวลานาน
“ความตายที่สวยงามของฉัน”
ในที่สุดกิลเลียนก็ปั้นอดัมสำเร็จ แต่คุณภาพชีวิตของเธอย่ำแย่ลง แม้ว่างานศิลปะของเธอจะทำร้ายเธอ แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะหยุดงานศิลปะที่เธอรักได้และเธอก็ขอที่จะทำมันให้สำเร็จเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อสร้างประติมากรรมที่สวยงามให้สำเร็จ
กิลเลียนพูดว่า เมื่อฉันมองไปที่อดัม ฉันรู้สึกโศกเศร้า โศกเศร้าให้กับตัวเองและกับโลกใบนี้ แต่ก็รู้สึกอิ่มเอมใจเพราะพระองค์ท่านงดงาม ศิลปะนี้ทำให้ฉันพบความหวัง
ฉันจึงเรียกงานชิ้นนี้ว่าว่า “ความตายที่สวยงามของฉัน” ตอนนี้กิลเลียน กำลังรอวันที่ผู้สร้างของเธอจะมารับตัวเธอกลับไป